ทำเลที่ตั้งของศรีสัชนาลัยนั้นเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดภูมิปัญญาด้านการออกแบบผังเมืองอย่างหาเมืองที่จะมีความสามารถในการออกแบบเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบในเลือกผังเมืองอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว
เมืองศรีสัชนาลัยสร้างเมืองอยู่ที่วางตัวขนานกับแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งของประเทศไทย โดยแม่น้ำยมนี้เป็นแม่น้ำที่เกิดจากเทือกเขาในหวัดพะเนาและจังหวัดแพร่
แม่น้ำยมนี้เป็นแม่น้ำที่วางตัวขนานกับแม่น้ำน่านมาแทบตลอดเส้นทางของตัวลำน้ำสุดท้ายแม่น้ำยมมาบรรจบกับแม่น้ำน่านที่บริเวณ
อ.ชุมแสงจังหวัดนครสวรรค์
ความแตกต่างอย่างสุดขีดของแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านคือสีของน้ำ
แม่น้ำน่านนั้นไหลผ่านเขตดินที่มีความชันของน้ำค่อนข้างสูงจึงมีการกัดกร่อนของดินค่อนข้างมากน้ำในแม่น้ำจึงเป็นสีแดง
ส่วนแม่น้ำยมนั้นไหลผ่านจากในเขตที่ไม่ชันนัก การไหลก็เป็นไปอย่างเอื่อยๆช้าๆ
ทำให้ลำน้ำมีสีเขียวอันเนืองจากมี สาหร่ายสีเขียวของน้ำเป็นจำนวนมาก
แม่น้ำยมจนปัจจุบันนี้ก็แทบจะเป็นแม่น้ำหลักสายเดียวที่ยังไม่มีเขื่อน
สาเหตุของการไม่เหมาะสมของการสร้างเขื่อนที่สำคัญประการหนึ่งคือแม่น้ำยมไม่ได้ไหลผ่านหุบเขาขนาดใหญ่ทำให้การสร้างเขื่อนไม่ได้สามารถกักเก็บน้ำได้มากนัก
แม่น้ำยมจึงยังเป็นแม่น้ำที่มีพฤติกรรมเป็นไปธรรมชาติโดยแท้ เมื่อช่วงหน้าน้ำ
น้ำก็ท่วม เมื่อยามแล้งน้ำก็แล้งจนติดท้องแม่น้ำ
ลำน้ำยมนี้เองเป็นเส้นทางการลำเลียงสินค้ามาจากเมืองแพร่ หากเทียบกับเมืองโบราณริมน้ำน่านและริมน้ำปิง
จะพบว่าเมืองโบราณริมน้ำปิงและริมน้ำน่านนั้นมีแนวโน้มในการเจริญเติบโตเป็นเมืองใหญ่ได้มากกว่า
อย่างเช่นเมืองพิษนุโลกสองแควริมน้ำน่านหรือเมืองนครชุม-กำแพงเพชรริมแม่น้ำปิง
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนืองจากลำน้ำปิงและลำน้ำน่านนั้นเป็นเส้นทางการค้าที่มีสินค้าที่มีราคามากกว่าลำน้ำยม
เช่นน้ำปิงนั้นใช้ชักนำส่งสินค้าประเภทของป่าจากล้านนา
ส่วนลำน้ำน่านก็ผ่านเมืองน่านยาวไปถึงเวียงจันทร์
ในขณะที่ลำน้ำยมนั้นแทบจะผ่านมาจากเมืองแพร่แทบจะเมืองเดียวทำให้สินค้าที่จะส่งผ่านแม่น้ำยมคงไม่ได้มากมายเหมือนแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่าน
เมืองศรีสัชนาลัยนั้นแต่เดิมเมืองเก่าก่อนย้ายมาเป็นเมืองศรีสัชนาลัยนั้นเดิมทีตั้งอยู่บริเวณโค้งน้ำไส้ไก่ของลำน้ำยมที่เรียกว่าเมืองเชลียง
ตัวเมืองเชลียงอยู่บริเวณวัดมหาธาตุอันทำให้เมืองนี้โดนล้อมด้วยน้ำมีการป้องกันภัยจากศัตรูเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบไม่น้อยกว่าอยุธยา
หากแต่ในดีย่อมมีเสีย ด้วยพื้นที่ขนาดเล็กจนเกินไปทำให้เมืองไม่สามารถขยายตัวได้
ท้ายทีสุดจึงเกิดการย้ายเมืองออกมายังบริเวณศรีสัชนาลัยปัจจุบัน เมืองศรีสัชนาลัยตั้งอยู่ริมน้ำแม่น้ำยม
แต่ความน่านับถือของพื้นที่เมืองนี้คือตัวเมืองตั้งอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างสูงกว่าระดับน้ำค่อนข้างมากทำให้จากระดับน้ำยมทำให้แม้จะประชิดริมน้ำแต่น้ำกลับไม่ท่วม
ต่างจากสุโขทัยที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มเมื่อหน้าน้ำจะเกิดน้ำท่วมตลิ่งมาเป็นระยะที่กว้างมาก
จนเรียกว่าทะเลหลวง แต่เมืองศรีสัชนาลัยนั้นกลับไม่ท่วม
เมืองโบราณของศรีสัชนาลัยนั้นมีสภาพเป็น
“เขาล้อมเมือง เมืองล้อมเขา” โดยเมืองศรีสัชนาลัยนั้นเป็นเมืองที่มีเขาล้อมรอบแทบทุกด้านอันเป็นปราการธรรมชาติของเมืองศรีสัชนาลัย
หากจะทำการตีเมืองศรีสัชนาลัยต้องทำการตีทางด้านหน้าเมืองเท่านั้น
ด้วยเหตุที่มีเมืองศรีสัชนาลัยจึงเป็นมีลักษณะที่เป็นเมืองป้อมที่สมบูรณ์แบบเนื่องจากสามารถกำหนดทิศทางการเข้าตีของศัตรูได้โดยสภาพภูมิศาสตร์
ดังจะเห็นเมื่อกองทัพของพระนเรศวรยกมาปราบเมืองนี้ต้องเข้าโจมตีด้านหน้าเมืองและจำต้องใช้กลศึกเข้าโจมตีจนชนะ
นอกจากเมืองจะมีภูเขาล้อมแล้วยังมีภูเขาอีกลูกที่ตัดผ่านกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของวัดเขาพนมเพลิงและวัดเขาสุวรรณคีรี
เมื่อทำการขึ้นไปยังยอดเขาจะสามารถมองเห็นออกนอกตัวเมืองทั้งด้านหน้าและหลังของเมืองได้ในระยะไกลมาก
นอกจากภูเขาที่ผ่านเมือง แนวภูเขายังทอดผ่านแม่น้ำยม เกิดเป็นกำแพงหินขนาดสูงประมาณ
5-6 เมตร ทำให้เกิดการกั้นแม่น้ำทำให้เป็นด่านทางน้ำ ซึ่งทำให้เกิดความสมบูรณ์โดยศรีสัชนาลัยบริเวณแก่งหลวงด้านเหนือแก่งหลวงจะช่วยทดน้ำเข้าเมืองและคงจะมีน้ำตกไหลผ่านกำแพงหินนี้อย่างสวยงาม
นอกจากนั้นแก่งหลวงคงจะเป็นด่านขนอนช่วยในการเก็บรายได้จากสินค้าต่างๆ
ทำให้เชื่อได้ว่าเมืองศรีสัชนาลัยควรมีท่าเรือที่ใช้ในการขนส่งสินค้า
ส่งถ่ายสินค้า ย่อมต้องมีท่าเรือในการเทียบท่าบริเวณแก่งหลวง
น่าเสียดายมากในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองนักบริษัทที่ทำไม้จากต่างชาติได้ทำการขอรัฐบาลในสมัยนั้นทำการระเบิดแก่งหลวงทิ้งเพื่อให้ทำการชักลากไม้ทำได้สะดวกโยธิน
รัฐบาลสายตาสั้นที่มองเห็นเพียงประโยชน์ทางการค้าเพียงเล็กน้อยก็อนุญาตตามความต้องการของพ่อค้านายทุนฝรั่งมังค่า
ท้ายที่สุดเมือแก่งหลวงหายไป ความแห้งแล้งก็เกิดขึ้นทุกหัวระแหง
ระบบชักน้ำเช้าเมืองที่คาดว่าคงใช้ระหัดวิดน้ำกลับหายไปจนไม่สามารถเห็นร่องรอยการออกแบบร่องรอยได้อีกเลย
Comments
Post a Comment